อาจารย์พัท
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

ปาล์มวิวัฒน์จัดแคมเปญสามานย์-ใบตองแห้ง

Go down

ปาล์มวิวัฒน์จัดแคมเปญสามานย์-ใบตองแห้ง Empty ปาล์มวิวัฒน์จัดแคมเปญสามานย์-ใบตองแห้ง

Post  Pompidou Tue Mar 01, 2011 7:56 pm

ปาล์มวิวัฒน์จัดแคมเปญสามานย์

ใบตองแห้ง
28 ก.พ.54


น้ำมันปาล์มจะไม่ขาดตลาดแล้วนะครับ ถึงขนาดรัฐมนตรีพาณิชย์สั่งให้ปลดป้าย “ห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด” เอ๊ย “จำกัดครอบครัวละ 1 ขวด” โดยมีทั้งฝาสีฟ้าสีชมพู แต่ห้ามผลิตฝาสีเหลืองสีแดง


ปาล์มวิวัฒน์จัดแคมเปญสามานย์-ใบตองแห้ง 5484129773_606cf9f9f5_z

น่าเสียดายที่ในช่วงน้ำมันปาล์มขาดตลาด รัฐบาลไม่ได้แปรวิกฤติเป็นโอกาส ให้กระทรวงสาธารณสุขโดยคุณหมออู๊ดด้า ออกมารณรงค์ให้ประชาชนลดการบริโภคน้ำมัน ลดการกินอาหารประเภททอดๆ ผัดๆ น้ำมันเยิ้ม เพราะแม้น้ำมันพืชจะคุยว่าไม่เป็นไข ไม่ทำให้เกิดคลอเรสเตอรอล แต่ก็เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะถ้าใช้น้ำมันเก่าซ้ำจนดำปี๋ แบบที่ทอดปาท่องโก๋ กล้วยแขก ทอดหมูทอดไก่ ขายในตลาดอยู่ขณะนี้

รัฐบาลน่าจะให้คณะภริยาคณะรัฐมนตรี รวมทั้งรัฐมนตรีหญิง นำโดยคุณพรทิวา นาคาศัย ออกรายการโทรทัศน์แนะนำวิธีการทำอาหารโดยไม่ต้องใช้น้ำมันปาล์ม อาทิเช่น แทนที่จะกินไก่ทอดหาดใหญ่ เราก็กินไก่ย่างโคราชหรือไก่ต้มน้ำปลา แทนที่จะกินปลาทูทอด เราก็กินปลากระพงนึ่งซีอิ๊ว แทนที่จะกินหอยทอด เราก็กินหอยแมลงภู่อบชีส แทนที่จะกินคะนาผัดน้ำมันหอย เราก็กินสลัดผักราดน้ำมันมะกอก ซึ่งมีโอเมกา 3 ขจัดอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคหัวใจได้ด้วย

ผมเชื่อว่ารัฐบาลจะได้คะแนนนิยมล้นหลามจากบรรดาแม่ค้าแม่ขาย ฮิฮิ เหมือนตอนไข่แพง เมื่อขายเป็นใบแล้วแพง ท่านก็ออกไอเดียให้ขายเป็นกิโลเสีย

อันที่จริงก็เป็นไอเดียที่ดี เพราะขายเป็นกิโลไม่ต้องเสียค่าคัดแยกไข่ แต่น่าเสียดาย มันไม่เข้ากับความเป็นจริง เพราะมันใช้ไม่ได้กับแม่ค้าผัดกระเพราไข่ดาว ไปจนแม่ค้าบัวลอยไข่หวาน มีแต่คนขายทองหยิบทองหยอด สังขยา ที่ซื้อไข่คละขนาด แถมยังใช้ไม่ได้กับคนจนที่ซื้อไข่วันละ 1-2 ใบ และที่ไม่เข้ากับความเป็นจริงยิ่งกว่านั้นคือ ทุกวันนี้ฟาร์มไก่เขามีเครื่องคัดแยกอยู่แล้ว ถ้าให้ไปซื้อตาชั่ง ก็กลายเป็นเพิ่มต้นทุน

กระนั้นถ้ารัฐบาลจะสนับสนุน “ไข่ทางเลือก” ให้มีการขายไข่ชั่งกิโลควบคู่กันไป ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ผมจึงเห็นใจว่าเรื่องนี้รัฐบาลไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรม คือพอล้มเหลวก็ถูกตีปี๊บเย้ยหยัน

แต่มองอีกด้าน สาเหตุที่นโยบายชั่งไข่ถูกตีปี๊บเมื่อล้มเหลว ก็เพราะรัฐบาลนั่นแหละตีปี๊บก่อน ถ้าเรายังจำกันได้ นโยบายชั่งไข่ออกมาพร้อมๆ กับนโยบาย “ประชาวิวัฒน์” ที่เป็นของขวัญปีใหม่ รัฐบาลหมายมั่นจะเป็นผลงาน แต่เอาเข้าจริงไม่มีอะไรจับใจชาวบ้าน จึงเหลือแต่นโยบายชั่งไข่ที่เป็นสีสัน

ประชาวิวัฒน์มีอะไรบ้าง ใช้ไฟต่ำกว่า 90 หน่วยฟรีตลอดชีพ กับตรึงค่าก๊าซ LPG ซึ่งถูกนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ด่าขรม ให้เงินกู้แท็กซี่ หาบเร่ แผงลอย ขึ้นทะเบียนแมงกะไซค์รับจ้าง ซึ่งยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

ข้อสำคัญที่สุดคือ ให้คนอยู่นอกระบบประกันสังคมจ่ายเงินสมทบเข้าระบบได้ อันนี้เหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นเลยครับ ประกันสังคมเนี่ยนะ ใครอยากเข้ามั่ง มีแต่คนอยู่ในระบบอยากออก แต่ออกไม่ได้ ถูกบังคับจ่ายรายเดือน สิทธิการรักษาพยาบาลก็เท่ากับบัตรทอง บางอย่างแย่กว่าด้วยซ้ำ

ประชาวิวัฒน์จึงกลายเป็นนโยบายที่แม้จะมีข้อดีอยู่บ้าง แต่หักกลบลบแล้ว ไม่ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ ไม่ได้ทำให้ชาวบ้านครางฮือ อึ้ง ทึ่ง เสียว ซู่ซ่า มีแต่นโยบายชั่งไข่ ที่ดูแปลกใหม่ แต่ถูกปรามาสเสียมากกว่า แล้วก็พับฐานไปสมดังปรามาส ปิดฉากประชาวิวัฒน์ในช่วงเวลาเพียง 2 เดือน เหลือแต่ภาระที่รัฐต้องชดเชยค่าไฟค่าก๊าซ โดยไม่ได้ผลทางการเมือง เพราะมวลชนเป้าหมายอย่างแท็กซี่ สามล้อ แมงกะไซค์ หาบเร่ แผงลอย ยังออกมาเย้วๆ กับม็อบเสื้อแดง และไปดักตะโกนด่านายกฯ วันละ 3 เวลาหลังอาหาร

แถมยังมาเจอวิกฤติน้ำมันปาล์มเข้าอีก ประชาวิวัฒน์ดับสนิท

"น้ำมันปาล์มส่งสัญญาณขาดแคลนมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว ......แต่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กปน.) ที่มีสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นประธาน กลับไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้สต๊อกหมดลง จนต้องขึ้นราคาจากลิตรละ 38 เป็น 47 บาท แล้วจึงค่อยนำเข้า 30,000 ตัน…..ถามว่านี่คือความงี่เง่า หรือเป็นการ “ทุจริตเชิงนโยบาย”.."

อย่างไรก็ดี กรณีน้ำมันปาล์ม ต้องชมว่ารัฐบาลมีฝีมือ ใช้เวลาเพียงไม่ถึงสัปดาห์ หลังจากกระทรวงพาณิชย์บอกว่าจะต้องขึ้นราคาอีก 9 บาทเป็นขวดละ 56 บาท กลับมาตรึงราคาขวดละ 47 บาทแถมยังไม่ต้องจำกัดครอบครัวละ 1 ชวด

มีฝีมือจนต้องถามว่า อ้าว แล้วที่ผ่านมาทำไมถึงปล่อยให้ขาดแคลนอยู่เกือบ 2 เดือน

มติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติให้นำเข้า 120,000 ตันตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.ผ่านไป 20 กว่าวันยังไม่นำเข้า ต้องแก้ปัญหาโดยให้กระทรวงพลังงานนำน้ำมันปาล์มดิบ 15,000 ตัน มากลั่นเป็นน้ำมันปาล์มบรรจุขวด โดยรัฐบาลอุดหนุนลิตรละ 9.50 บาท และให้สมาคมโรงกลั่นนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบ 30,000 ตัน โดยรัฐบาลชดเชยให้ลิตรละ 5 บาท

ให้สังเกตว่างานนี้มีรายการซัดกันพัลวันระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย กระทั่ง ส.ส.ปชป.ออกมาสีซอให้ปี๊บฟัง ทั้งยังมีข่าวจากสมาคมน้ำมันปาล์มว่า มีการเรียกหัวคิวบริษัทในมาเลเซียและอินโดนีเซีย ตันละ 10 เหรียญ แล้วเสนอขายบริษัทเอกชนไทยตันละ 1,380 เหรียญ กินส่วนต่าง 80 เหรียญ ส่วนการชงขึ้นราคารอบสอง ได้ค่าหัวคิวลิตรละ 1 บาท กิน 3 เด้ง 440 ล้าน

จริงไหมไม่ทราบ แต่เรื่องมันง่ายๆ แค่ปลายน้ำชั้นเดียวอย่างนั้นหรือ

เพราะข้อมูลที่เป็นจริงปรากฏว่า น้ำมันปาล์มส่งสัญญาณขาดแคลนมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว สต๊อกที่ต้องมีอยู่อย่างน้อย 2 แสนตัน ลดลงตั้งแต่เดือนกันยายน จนเดือนพฤศจิกายนเหลือ 98,015 ตัน เดือนธันวาคมเหลือ 67,787 ตัน แต่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กปน.) ที่มีสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นประธาน กลับไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้สต๊อกหมดลง จนต้องขึ้นราคาจากลิตรละ 38 เป็น 47 บาท แล้วจึงค่อยนำเข้า 30,000 ตัน

ขณะที่ก่อนหน้านั้น กปน.อนุมัติให้ส่งออกน้ำมันปาล์มในเดือน ก.ย.21,660 ตัน เดือน ต.ค.อีก 9,414 ตัน แถมยังอนุมัติให้เอาไปผลิตไบโอดีเซลเพิ่ม แล้วตอนนี้เป็นไง ต้องเลิกผลิต B5, B3 เหลือแต่ B2

ถามว่านี่คือความงี่เง่า หรือเป็นการ “ทุจริตเชิงนโยบาย”

เพราะคนที่ได้ผลประโยชน์จากน้ำมันปาล์มขาดแคลนจนต้องขึ้นราคาลิตรละ 9 บาท นอกจากยี่ปั๊วซาปั๋วพ่อค้าปลีก ที่สำคัญยังได้แก่โรงสกัด ซึ่งอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ แถวสุราษฎร์ ชุมพร กระบี่ ตลอดจนนายทุนสวนปาล์ม คนเหล่านี้มีส่วนพัวพันกับนักการเมืองหรือไม่ พรรคไหน ให้ชาวบ้านเติมคำในช่องว่างเอาเอง

คำถามที่สุเทพและ ปชป.ต้องตอบก็คือ ทำไมถึงไม่รู้ว่าน้ำมันปาล์มจะขาดแคลน ในเมื่อคนของพรรคประชาธิปัตย์ล้วนถนัดจัดเจนเรื่องน้ำมันปาล์ม ถ้าบอกว่าอภิสิทธิ์ไม่รู้และไม่เกี่ยวข้องในกระบวนการสวาปาล์มเชิงนโยบาย ผมเชื่อ แต่ถ้าจะบอกว่าคนของพรรคไม่รู้ไม่เกี่ยวไม่ทันกลโกง คงเชื่อยากสักหน่อย

ปชป.น่าจะรู้ตัวว่ามีจุดอ่อนเรื่องผลประโยชน์ภาคใต้ ก็ยังปล่อยให้เป็นเรื่องใหญ่ การอภิปรายไม่ไว้วางใจคงสนุกแน่ ถ้าฝ่ายค้านเตรียมข้อมูลได้ดีพอ โดยนอกจากพรรคเพื่อไทยแล้ว ยังมีพรรคการเมืองใหม่ผสมโรง ขนาดกวีซีไรท์ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ยังเอาฉายา “สวาปาล์ม” ไปเขียนบทกวีสาปแช่ง (เหลืองแดงรวมกันได้ ฮิฮิ)

หาเสียงกับความสามานย์

เรื่องตลกคือ ปชป.ฉวยโอกาสเอาราคาน้ำมันปาล์มไปหาเสียงว่าเป็นการเพิ่มรายได้เกษตรกร อย่างที่อภิสิทธิ์บอกว่า “ทำดีเกินไป” จากเมื่อก่อนปาล์มน้ำมันมีราคาแค่ 3 บาท ตอนนี้พุ่งพรวดพราด

ปชป.เปิดแคมเปญหาเสียง ใช้สโลแกน 25 เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 25% ใน 2 ปี (ที่ถูกน่าจะเป็น 2.5 ปี) เพิ่มกองกำลังปราบยาเสพย์ติด 2,500 นาย เพิ่มกองทุนกู้ยืมเรียนมหาวิทยาลัย 2.5 แสนทุน และออกโฉนดชุมชนให้เกษตรกร 2.5 แสนครัวเรือน ฯลฯ

โดยหวังจะซื้อใจประชาชนให้เลือก ส.ส.ปชป.250 คน (เข้ากันดีกับสูตรเพิ่ม ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 125 คน)

ก็เป็นเรื่องดีถ้าจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำถึง 300 บาท ในอีก 2 ปี ขอให้ทำได้จริง รวมถึงที่ประกาศจะประกันราคาพืชผลการเกษตรทุกตัว อย่าให้ซ้ำรอยน้ำมันปาล์มก็แล้วกัน ผมไม่ใช่นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ จึงขอข้ามไป ไม่วิจารณ์ “ประชานิยม” ที่คาดว่าจะต้องใช้งบประมาณมหาศาล เพียงแต่ขำๆ ที่อภิสิทธิ์บอกว่าจะใช้ทฤษฎีสองสูงของเจ้าสัวซีพี (ณ ไอซีทรู) เพิ่มเงินในกระเป๋าให้ประชาชนสู้กับภาวะของแพง (เพื่อไปซื้อของเซเวนอีเลเวน)

คำถามคือ ปชป.ทำวิจัยหรือยังว่าทฤษฎีสองสูงเนี่ย เป็นไปตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงหรือเปล่า แล้วสอดคล้องกับแนวคิด “ลดความเหลื่อมล้ำ” ของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทยที่รัฐบาลตั้งขึ้นหรือเปล่า เพราะมันฟังทะแม่งๆ นะครับ ถ้าจะเอาทั้งความคิดเจ้าสัวซีพี ความคิดหมอประเวศ อานันท์ และ NGO ทั้งหลายมารวมกัน สรุปแล้วเป็นทฤษฎีอะไรแน่

ถ้าจะลดความเหลื่อมล้ำ ก็ต้องมุ่งไปที่นโยบายภาษี เช่น เพิ่มภาษีเงินได้จากคนที่มีรายได้สูง เพิ่มภาษีที่ดิน ซึ่งไม่ใช่เก็บภาษีเท่ากันหมดอย่างที่กระทรวงการคลังคิด แต่ต้องเก็บภาษีอัตราก้าวหน้าตามราคาประเมิน ใครมีมากยิ่งเสียมาก ต้องลด ละ เลิก การยกเว้นภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุน ที่ส่งเสริมกันตะบี้ตะบัน หรือกระทั่งต้องเก็บภาษีขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ (ก็เรียกร้องกันจังให้ทักษิณเสียภาษี ผ่านมา 5 ปีไม่ยักมีใครแก้ไขกฎหมาย)

มันต่างกันเลยนะกับทฤษฎีสองสูง อย่างที่โฆษกพรรคประชาธิปัตย์บอกว่าจะลดภาษีนำเข้าเครื่องจักรเพื่อให้ผู้ประกอบการมีกำไรมากขึ้นจะได้มาเพิ่มเงินเดือนพนักงาน พูดแบบนี้ฟังคุ้นๆ ชวนให้นึกถึงพิเชษฐ์ พันธ์วิชาติกุล พี่ชายโหรชื่อดัง อดีตรัฐมนตรีคลัง (และเจ้าของสวนปาล์ม) ที่เคยอภิปรายในสภาสมัยรัฐบาลชวน 2 ว่ารัฐบาลต้องช่วยคนรวยก่อน เพื่อให้คนรวยมีเงินมาจ้างคนจน

ข้อนี้ฝากไว้ให้เป็นการบ้าน เพราะผมนึกหน้าเจ้าสัวซีพีซ้อนภาพหมอประเวศไม่ออกจริงๆ มันจะกลายเป็นหมอประเวศพูกไทยไม่ชักเสียมากกว่า

"อภิสิทธิ์กำลังบอกสังคมไทยให้ลืมความขัดแย้ง ลืมการต่อสู้เพื่อความถูกต้องชอบธรรม ลืมการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ลืมรัฐประหาร ลืมความอยุติธรรม ลืมการเข้าสู่อำนาจโดยไม่ชอบธรรมของตัวเอง ....และลืมกระทั่งการต่อสู้เพื่อให้การเมืองใสสะอาด (ตามความคิด) ของมวลชนเสื้อเหลือง"

แต่ประเด็นที่น่าสนใจในการแถลงแคมเปญของประชาธิปัตย์คือ คำพูดของอภิสิทธิ์ที่ว่า ต้องการให้ประเทศเดินหน้าหรือต้องการให้ประเทศติดหล่มอยู่กับสภาพปัญหาเดิมๆ คือความขัดแย้ง ถ้าเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะเดินหน้านโยบายเพื่อประชาชนต่อไป แต่ถ้าเลือกพรรคเพื่อไทย ก็เห็นอยู่ว่าจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในเหตุการณ์ทางการเมืองปีที่ผ่านมา ซึ่งอภิปรายไปแล้วหนึ่งครั้ง เท่ากับไม่มีการเดินหน้า มีแต่เดินวน เดินถอยหลัง ประชาชนจะเลือกอะไร จะเดินหน้า หรือจะเดินวน นี่คือความแตกต่าง


ตรงนี้แหละครับ เข้าเป้า ตรงเผงเลย อภิสิทธิ์กำลังบอกสังคมไทยให้ลืมความขัดแย้ง ลืมการต่อสู้เพื่อความถูกต้องชอบธรรม ลืมการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ลืมรัฐประหาร ลืมความอยุติธรรม ลืมการเข้าสู่อำนาจโดยไม่ชอบธรรมของตัวเอง

และลืมกระทั่งการต่อสู้เพื่อให้การเมืองใสสะอาด (ตามความคิด) ของมวลชนเสื้อเหลือง

อภิสิทธิ์กำลังบอกให้สังคมไทยก้าวข้ามการต่อสู้ของเหลือง-แดง ทิ้งอดีต หยวนยอมกับสภาพที่ดำรงอยู่ แล้ว “เดินไปข้างหน้า”

ซึ่งอาจจะประสบความสำเร็จก็ได้ เพราะสังคมไทยเป็นสังคมที่อยู่กับการหยวนยอม ประนีประนอมโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ก้าวไปข้างหน้าโดยซุกปัญหาไว้ใต้พรม นี่คือด้านที่สามานย์ของสังคมไทย ที่ทำให้ไม่สามารถพัฒนาไปเทียบเท่าประเทศเพื่อนบ้าน


เราหยวนยอมกันมาตลอดนี่ครับ จะแปลกอะไร 6 ตุลาก็ลืมไปแล้ว พฤษภา 35 ก็ลงเอยไม่มีใครผิด เหตุการณ์ในอดีตที่ ปชป.ให้ร้ายอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ก็ไม่มีอยู่ในแบบเรียน สังคมไทย “เดินไปข้างหน้า” ได้เสมอ

ผมเชื่อว่านี่คือแคมเปญที่จับใจคนกรุงคนชั้นกลาง ยิ่งกว่าสโลแกน 25 อะไรนั่น เพราะคนกรุงคนชั้นกลางต้องการ “ความสงบ” ที่ตัวเองจะได้ทำมาหากิน มันจะเป็นประชาธิปไตยไหม มันจะยุติธรรมไหม มันจะอยู่บนความถูกต้องไหม ไม่เกี่ยวกับวิถีชีวิตคนชั้นกลางซึ่งเอาตัวรอดได้อยู่แล้วสังคมสามานย์นี้ แถมยังเอาดีได้ด้วยอีกต่างหาก ขอเพียงรู้จักมีเส้นสาย พวกพ้อง ให้พึ่งพาฝากฝังได้

นี่จะเป็นการ “วัดใจ” สังคมไทยครั้งสำคัญ เพราะถ้าเราปล่อยให้กระแสสามานย์ชนะ สังคมไทยก็หมดอนาคต แน่นอน ในด้านกลับกัน ไม่ใช่ว่าพรรคเพื่อไทยชนะแล้วคือฝ่ายที่ถูกต้องชนะ เพราะก็มีหลายอย่างที่ประชาชนรับไม่ได้ แต่เทียบกันแล้วถ้าเราปล่อยให้คนที่ไร้จุดยืน ยอมทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะทางการเมือง สู้เขาไม่ได้ก็เรียกร้องนายกพระราชทาน จนได้ฉายา ม.7 ได้อำนาจมาด้วยการอุ้มสมของอำมาตย์ รัฐประหาร ตุลาการ และจูบปากกับนักการเมืองที่ตัวเองเคยประณาม สามารถเป็นผู้นำประเทศต่อไปอย่างสง่าผ่าเผย (หรืออาจเป็นรัฐบุรุษในวันหนึ่ง)

คนแบบนี้ก็จะเป็นแบบอย่างให้คนรุ่นลูกรุ่นหลาน ว่าถ้าอยาก “ได้ดี” ในสังคมไทย เราจะมีจุดยืนมั่นคงของตัวเองไม่ได้ ต่อสู้ด้วยลำแข้งของตัวเองไม่ได้ ต้องเล่นเล่ห์ ต้องเล่นเส้นเล่นสาย ต้องพึ่งพาผู้หลักผู้ใหญ่ สยบยอมผู้มีอำนาจ แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับคนร้าย เพียงใช้ปากแถไปได้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะถูกหรือผิด อยู่ที่การสร้างภาพ

ให้ตายเถอะ พวกพันธมิตรที่ว่าสุดขั้วสุดโต่งยังมีศักดิ์ศรีอกสามศอกเสียกว่า เพราะเมื่อพวกเขาเชื่อว่าต่อสู้เพื่อความถูกต้อง พวกเขาก็ยังยืนหยัดในจุดยืนของตัว

การต่อสู้ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในทางการเมืองการปกครองเฉพาะหน้า แต่เป็นการต่อสู้เพื่อวางมาตรฐานของสังคม วางมาตรฐานความยุติธรรม วางมาตรฐานทางวัฒนธรรม ความคิด และวิถีการดำรงชีวิต ของลูกหลานในภายหน้า เพราะถ้ากระแส “รักสงบ” แบบสามานย์เป็นผู้ชนะ ถีบเหลืองแดงที่ต้องการต่อสู้เพื่อสิ่งที่ดีกว่าให้ตกเวที เราก็จะไม่เหลืออนาคตอะไรเลยนอกจากสังคมที่ผู้คนต่างเอาตัวรอด ขณะที่โครงสร้างส่วนบนท่องคุณธรรมจริยธรรมไว้ปกปิดอำพราง

ให้กำลังใจ 4 ส.ส.

การออกมาระบายความรู้สึกอึดอัดคับข้องต่อการปฏิบัติหน้าที่ของทหารใน 3 จังหวัดภาคใต้ โดย 4 ส.ส.ประชาธิปัตย์ สะท้อนภาพความเป็นจริงว่า รัฐบาลนี้ไม่ได้เป็นผู้บังคับบัญชากองทัพ แต่กองทัพต่างหากที่รัฐบาลต้องเกรงใจ

ก็ขนาดเลขาธิการพรรคเรียก 4 ส.ส.มาด่าต่อหน้ารัฐมนตรีกลาโหม พร้อมโทรไปขอโทษขอโพยผู้บัญชาการทหารบก แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าใครใหญ่

แล้วจะแก้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ได้อย่างไร ในเมื่อประเด็นที่ 4 ส.ส.พูดออกมาล้วนเป็นเรื่องจริง เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะต้องทำลายรัฐบาลตัวเอง




"ปชป.จะแก้ปัญหาภาคใต้ได้อย่างไร ในเมื่อตัวเองมีความคิดดีๆ แต่ทำไม่ได้"

เรื่องที่พวกเขาพูด ที่จริงก็เป็นเรื่องที่มีเสียงสะท้อนมาก่อนแล้ว เช่น การที่นายทหารนายตำรวจย้ายลงไป 3 จังหวัดเพื่อเอาขั้นเอาตำแหน่ง ทหารใน 3 จังหวัดแทบจะเดินชนกันตาย ทำไมโจรยังก่อการร้ายได้ ก็เพราะทหารสับเปลี่ยนกำลังอยู่เรื่อย ไม่รู้จักคน ไม่รู้จักพื้นที่

ทหารมีหน่วย ฉก.อยู่ทุกอำเภอ แต่ละ ฉก.มี 3-4 กองร้อย คุมงบประมาณไม่อั้น ตั้งแต่งบพัฒนาไปถึงงบราชการลับ ชาวบ้านร่ำลือร้ายกว่าที่ 4 ส.ส.พูดเสียอีก เช่น บอกว่าทหารมาซื้ออุปกรณ์ก่อสร้าง เอาแต่บิล ไม่เอาของ นั่นอาจจะร่ำลือ เพราะคงมีบางรายไม่ใช่ทั้งหมด แต่ใครไปตรวจงบทหารบ้าง

เราใช้กำลังทหารมากขนาดนี้ไปตรึงพื้นที่ แค่ยืนเรียงแถวกางแขนต่อกัน ก็คุมถนนทุกสายใน 3 จังหวัด แต่ยังเกิดระเบิดคาร์บอมบ์กลางเมืองยะลา (คราวนี้คาร์บอมบ์ของจริงนะครับ ที่ผ่านมายังเป็นแค่มอเตอร์ไซค์) ส.ส.ปชป.จึงอดรนทนอยู่ไม่ไหว (แต่ทำไมถึงพาดพิง ผบ.ทบ.ก็ไม่ทราบได้ บังเอิญตรวจรายชื่อนายทหารพบว่า ผบ.ฉก.ยะลาชื่อ พล.ต.ปรีชา จันทร์โอชา เกี่ยวกันหรือเปล่า ไม่ทราบจริงๆ)

พรรคประชาธิปัตย์เคยประกาศนโยบายตั้งแต่เป็นรัฐบาลใหม่ๆ ว่าจะตั้งรัฐมนตรีลงไปดูแล 3 จังหวัดภาคใต้โดยเฉพาะ ตอนนั้นมีการพูดถึงนายชวน หลีกภัย ด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นนโยบายที่ถูกต้อง แต่เอาเข้าจริงทำไม่ได้ แม้จะมีการแก้ไขกฎหมายฟื้น ศอ.บต. อำนาจก็ยังอยู่ในมือทหาร ที่รวบไปแล้วตั้งแต่ตอนรัฐประหาร และตั้งงบผูกพันไว้ล่วงหน้าหลายปี



อย่าถามว่าทำไม ปชป.ไม่กล้าหือ จงถามดีกว่าว่า ปชป.จะแก้ปัญหาภาคใต้ได้อย่างไร ในเมื่อตัวเองมีความคิดดีๆ แต่ทำไม่ได้


เช่นเดียวกันกับการแก้ปัญหาประเทศ ประกาศนโยบายโน่นนี่ ต้องใช้งบมหาศาล ต้องสร้างหนี้และใช้หนี้ แต่ก็ต้องตั้งกองพลทหารม้าที่ 3 กองพลทหารราบที่ 7 ถามว่าอะไรสำคัญกว่า



อภิสิทธิ์ขึ้นมาเป็นนายกฯ ด้วยการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
มันไม่ใช่แค่เรื่องศักดิ์ศรีของผู้นำในระบอบประชาธิปไตย แต่มันคือหนี้บุญคุณต่ออำนาจนอกระบบ ที่เอาประชาชนไปชดใช้แทน

#######################################

Pompidou
Admin

Posts : 137
Join date : 2011-02-05
Age : 49

https://arjphat.thai-forum.net

Back to top Go down

Back to top

- Similar topics

 
Permissions in this forum:
You cannot reply to topics in this forum